แชมป์ไร้พ่าย ประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ ที่กาลครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้น

แชมป์ไร้พ่าย ประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ ที่กาลครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้น


ต้องยอมรับว่าประวัติศาสตร์ความอภิรมย์ของอาร์เซน่อลเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ผู้ชายชื่อ อาแซง เวงเกอร์ เข้ามาคุมทีมในช่วงกลางปี 1996 ในวันแรกเขาได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบและสไตล์การเล่นที่เมื่อก่อนอาร์เซน่อลถูกมองว่าเป็นทีมที่น่าเบื่อจากการที่เน้นเกมรับ เวงเกอร์ค่อย ๆ ปรับค่อย ๆ เปลี่ยน ตั้งแต่รากฐานรวมไปถึงรายละเอียดเล็กน้อยของทีม สุดท้ายจากทีมที่เล่นเกมรับจนน่าเบื่อก็ขยับขึ้นมาเป็นทีมที่เล่นบอลเท้าต่อเท้าที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในยุคสมัยนั้น


และในปี 1997/98 ถึง 2001/03 เป็นช่วงเวลาที่พุ่งทะยานที่สุดของพลพรรคปืนใหญ่ ในเมื่อช่วงเวลานั้นมีเพียงแค่ 2 ทีมที่ขับเคี่ยวชิงชัยในการชิงถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างสูสีที่สุด ก็คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล


โดยเริ่มจากที่ฤดูกาล 1997/98 อาร์เซน่อลคว้าแชมป์สมัยแรกไปครองได้ก่อนที่ทีมแมนเชสเตอร์ ยู่ไนเต็ดของยอดคนอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะเอาคืนมา และยึดครองไว้ถึง 3 ปีติดในปี 1998/99, 1999/2000, 2000/01 ต่อมาในปี 2001/02 ก็เป็นอาร์เซน่อลที่กลับมาเป็นแชมป์ได้อีกครั้งและจุดเริ่มต้นการวางรากฐานของแชมป์ไร้พ่าย ด้วยการที่อาร์เซน่อลเองไม่แพ้ใครในเกมเยือนเลยแม้แต่นัดเดียวด้วย


จากที่ไม่หวังก็ต้องหวังในเมื่อฤดูกาลที่แล้วไม่เคยแพ้นอกบ้าน ปัจจัยต่าง ๆ มันก็ชักนำให้ตัวเวงเกอร์มั่นใจว่าเขาจะพาทีมอาร์เซน่อลเป็นแชมป์ที่ไร้พ่ายให้ได้ ส่งผลให้ในฤดูกาลต่อมาในปี 2002/03 อาร์เซน่อลเริ่มต้นด้วยความมั่นใจ พวกเขาบุกไปเยือนทีมต่าง ๆ ในพรีเมียร์ลีกและเก็บยอดสถิติการไม่แพ้ใครของตัวเองได้ถึง 30 นัดรวมของฤดูกาลที่แล้ว แต่สุดท้ายความมั่นใจนี้กลับถูกหยุดลงในเกมต่อมา ความกดดันของนักเตะที่ลงเล่นด้วยการแบกความคิดที่ต้องไม่แพ้ใคร ทำให้ปืนใหญ่พลาดท่าให้กับเอฟเวอร์ตัน และนัดนั้นได้กำเนิดดาวดวงใหม่อย่างเจ้าหนูเวย์น รูนี่ย์ ที่ยิงประตูแรกของตัวเองด้วยวัยที่ยังไม่ครบ 17 ปีเต็มอีกด้วย เหตุการณ์นั้นเป็นเหตุให้ปืนใหญ่ขัดลำกล้อง เพราะหลังจากนั้นพวกเขาไม่ชนะใครเลยถึง 3 นัดติด และก็พลาดท่าเสียแชมป์ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปแบบบีบหัวใจแฟนบอล


หลังจากต้องอกหักอย่างชอกช้ำไปปีที่แล้ว อาแซง เวงเกอร์ เสียใจได้ไม่นานเขาและพลพรรค เดอะ กันเนอร์ส เริ่มฤดูกาลใหม่ด้วยความหวังเดิมที่ยิ่งใหญ่ของการเป็นแชมป์ไร้พ่าย ในปี 2003/04 เป็นยุคที่อาร์เซน่อลแข็งแกร่งจนที่แบบว่าสามารถเจอกับใครก็ได้ด้วยขุมกำลังแผงแบ็คโฟร์ประกอบด้วย โลร็องต์ เอตาเม่, โซล แคมป์เบลล์, โคโล่ ตูเร่ และ แอชลี่ย์ โคล


ตรงกลางมีมิดฟิลด์ตัวรับ 2 คนระหว่าง ปาทริค วิเอร่า และ จิลแบร์โต้ ซิลวา ริมเส้นสองฝั่งเป็น เฟรดริก ลุงเบิร์ก กับ โรแบร์ ปิแรส ที่ตอนนั้นอยู่ในจุดที่พีคของอาชีพที่สุด และคู่กองหน้าก็เป็น เดนนิส เบิร์กแคมป์ กับ เธียร์รี่ อองรี


ปืนใหญ่ในยุคนี้จึงเป็นยุคขึ้นชื่อว่าแพ้ยาก ด้วยความที่อาร์เซน่อลปีนั้นไม่ได้เล่นเกมรับหากแต่เน้นจังหวะบุกด้วยเกมที่เพลินตาและสวยงาม ผู้เล่นทั้งทีมต่อบอลกันตั้งแต่ปากประตูตัวเองไปถึงประตูของฝั่งตรงข้าม และมีกองหน้าอย่าง เธียร์รี่ อองรี ที่พร้อมจบสกอร์ได้ทุกวินาที มีนักเตะตัวเก๋ามากประสบการณ์และนักเตะดาวรุ่งที่มีความห้าวพร้อมจะวัดฝีเท้ากับรุ่นพี่ เป็นทีมที่ลงตัวที่สุดที่ปืนใหญ่เคยมีมา นาทีนั้นใครก็เอาอาร์เซน่อลไม่ลง


และสุดท้ายปืนใหญ่ อาร์เซน่อลในปี 2003/04 ก็ทำความฝันที่พวกเขาได้เริ่มวาดเอาไว้ได้สำเร็จ ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้โดยไม่แพ้ทีมไหนเลยสักเกม จากผลงาน 38 นัด ชนะ 26 เสมอ 12 ความพ่ายแพ้เป็น 0 กลายเป็นทีมที่ใคร ๆ ก็ต่างเรียกว่า “Invicible” เป็นทีมที่สร้างประวัติศาสตร์ที่ยากแก่การจะมีทีมไหนเทียบเคียงหรือทำลายมันลงไปได้ ทีมเดียวที่ได้ครองถ้วยพรีเมียร์ลีกสีทองอร่าม ลองคิดดูว่าเส้นทางการฝ่าฟันเป็นแชมป์นั้นยากแค่ไหนแล้ว ดังนั้นการเป็นแชมป์ที่ไม่เคยแพ้ใครคงจะยากมากขึ้นเป็นทวีคูณ สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ของยอดทีมนี้ได้โดยไม่ต้องสงสัยเลย


ถึงแม้ในปี 2021 นี้ อาร์เซน่อลเองจะอยู่ในช่วงสถานการณ์ที่น่าลำบากเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดของแฟนบอล พวกเราก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ อาแซง เวงเกอร์ และลูกทีมในชุดนั้นทำจะเป็นสิ่งที่คอยปลอบประโลมจิตใจให้หวนย้อนไปนึกถึงวันที่ทีมรักของพวกเขาเคยยิ่งใหญ่ และคอยเป็นกำลังใจให้ปืนใหญ่และเหล่า เดอะ กันเนอร์ส ผ่านพ้นคืนวันที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้เร็ว ๆ และกลับมาเป็นทีมที่ ใครก็เอาไม่ลง เหมือนที่พวกเขาเคยเป็นในอดีต.


ดูข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ : Goalstorm




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจนภพ โพธิ์ขี ชีวิตที่ไม่หยุดสู้ สู่ศูนย์หน้าทีมชาติไทย